จากใจเลขาธิการ
สวัสดีครับ สมาชิกและเพื่อนของ TBS ทุกท่าน
ยุคที่เราสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทั่วทั้งโลกได้ด้วยเพียงสัมผัสปลายนิ้วมือของเรานั้น อาจดูเหมือนว่าเราเองเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ แต่หากคิดให้ดี ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารนั้นก็เป็นเหมือนดาบสองคม เพราะหากเราเสพข้อมูลอย่างไม่ระมัดระวัง ข้อมูลบางอย่างที่เราได้รับนั้นก็อาจจะย้อนมาทำร้ายเราได้เหมือนกัน เช่น ข้อมูลที่ดูน่าเชื่อถือแต่กลับเป็นเรื่องหลอกลวง ทุกวันนี้ หลายคนไม่กล้าเปิดอีเมลจากคนแปลกหน้า หรือคลิกลิงก์ที่ได้รับแม้ดูเหมือนส่งมาจากคนที่คุ้นเคย หรือรับโทรศัพท์จากหมายเลขที่ไม่รู้จัก เพราะเกรงว่าจะเป็นมิจฉาชีพ ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราได้อ่านข้อมูลข่าวสารบนโลกอินเทอร์เน็ต หรือโซเชียลมีเดีย เราเองก็ต้องระมัดระวังที่จะไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ แท้ที่จริง หลายคนก็เคยได้รับข้อความจากเพื่อนบนเฟซบุ๊กที่ฟังดูแปลกๆ หรือเขียนมาขอความช่วยเหลือ ซึ่งมารู้ทีหลังว่า มาจากมิจฉาชีพที่เข้าไปยึดบัญชีและสวมรอยว่าเป็นเพื่อนคนนั้นของเรา
ในทางตรงกันข้าม ข้อมูลที่เป็นความจริงก็หาใช่เป็นประโยชน์เสมอไปไม่ เช่น ข่าวที่ทำให้เรารู้สึกหวาดกลัว บันดาลโทสะ หรือเศร้าสลดหดหู่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวพาดหัวอาชญากรรมสะเทือนขวัญ ข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างบุคคล ระหว่างองค์กร หรือระหว่างประเทศที่ฟังแล้วรู้สึกหัวเสีย หรือข่าวเกี่ยวกับความสูญเสียที่น่าสะเทือนใจ ที่สำคัญ บางครั้ง เรื่องนั้นก็อยู่ไกลตัวเกินกว่าที่เราจะสามารถสืบเสาะ หาข้อมูล ที่จะช่วยให้เรากลั่นกรองข้อเท็จจริง หรือแยกแยะได้ว่าส่วนไหนจริง ส่วนไหนเป็นการตีความ ส่วนไหนเป็นการใส่ไข่ให้ฟังดูตื่นเต้นน่าสนใจ หรือจริงมากน้อยขนาดไหน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อารมณ์ของเราถูกลากจูงไปแล้ว บางครั้ง เราจึงต้องถามตัวเองว่า เราเสพเรื่องนั้นเพื่ออะไร เสพมากขนาดไหนจึงจะเรียกว่าพอดี เพราะการสนองความอยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา อาจต้องแลกมาด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่น
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่า เราควรจะหลีกเลี่ยงข้อมูลทุกอย่างที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี บางครั้ง เราต้องเผชิญความจริง แม้เราจะชอบหรือไม่ก็ตาม เช่น การไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการผิดปกติในร่างกายของเรา แม้เราจะกลัวว่ามันอาจจะเป็นข่าวร้าย เราก็ไม่ควรหลีกเลี่ยงการรับรู้ เพราะการรู้ข้อมูลซึ่งอาจทำให้เราวิตกกังวลตอนนี้ ก็ยังดีกว่ารู้อีกทีก็สายเกินไปเสียแล้ว และเราต้องกลับมาเสียใจและเสียดายในภายหลัง ที่สำคัญ เราต้องตั้งสติให้ดี และตอบสนองความจริงอย่างคนที่เป็นผู้ใหญ่และมีปัญญา
คุณรู้หรือไม่
จงเตรียมมรรคาของพระยาห์เวห์ในถิ่นทุรกันดาร
อิสยาห์ 40:3 มีความหมายอย่างไร
“จงเตรียมมรรคาของพระยาห์เวห์ในถิ่นทุรกันดาร” ถ้อยคำแห่งความหวังนี้ปรากฏใน อิสยาห์ 40:3 ยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกอ้างถึงในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม ถ้อยคำนี้มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับเราในปัจจุบันอย่างไร
ในช่วงเวลาที่ชาวยูดาห์ถูกเนรเทศไปเป็นเชลยยังบาบิโลน ผู้เขียนได้กล่าวถ้อยคำชูใจนี้เพื่อปลอบโยนประชากรของพระเจ้า และยืนยันว่าพระองค์จะทรงนำพวกเขากลับมาสู่เยรูซาเล็มอีกครั้ง
คำว่า “ถิ่นทุรกันดาร” อาจหมายถึงทะเลทรายหรือพื้นที่รกร้าง โดยทั่วไปมักเป็นพื้นที่ห่างไกลไร้ผู้คน เป็นสถานที่เงียบสงบ ในเชิงสัญลักษณ์อาจใช้หมายถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากหรือสภาวะที่ขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เช่น ความทุกข์ยากจากการถูกเนรเทศ
สำหรับผู้อ่านดั้งเดิมของพระธรรมตอนนี้ เมื่อรวม “มรรคาของพระยาห์เวห์” เข้ากับ “ถิ่นทุรกันดาร” จะเล็งถึงการอพยพครั้งใหม่ (New Exodus) ซึ่งหมายถึงหนทางที่พระเจ้าจะเสด็จมาเพื่อช่วยกู้และนำประชากรของพระองค์กลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน คล้ายกับเหตุการณ์อพยพในสมัยของโมเสสที่พระองค์ทรงช่วยกู้ชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์
ดังนั้น “จงเตรียมมรรคา” จึงเป็นการเรียกร้องให้ประชาชนเตรียมใจ เตรียมชีวิต และเตรียมสังคมให้พร้อมรับการเสด็จมาของพระเจ้า นี่ไม่ใช่เพียงการเดินทางกลับถิ่นฐานทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูจิตวิญญาณและความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วย โดยพระองค์จะทรงเป็นผู้เปิดทางผ่านความทุกข์ยาก ความแห้งแล้ง และอุปสรรคต่างๆ
ข้อความนี้ถูกยกมาอ้างในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม (มัทธิว 3:3; มาระโก 1:3; ลูกา 3:4; ยอห์น 1:23) เพื่อชี้ให้เห็นถึงบทบาทของยอห์นผู้ให้บัพติศมาในฐานะ “เสียง” ที่ร้องประกาศให้ผู้ฟังเตรียมหนทางเพื่อต้อนรับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ยอห์นเรียกร้องให้ประชาชนกลับใจใหม่และรับบัพติศมา ซึ่งเป็นการเตรียมใจของพวกเขาให้พร้อมรับการช่วยให้รอด สิ่งที่น่าสังเกตคือ ในพันธสัญญาใหม่นั้น หนทางที่ถูกเตรียมไว้ไม่ใช่สำหรับประชาชนที่จะใช้ไปหาพระเจ้า แต่เป็นหนทางที่พระเจ้าจะเสด็จมาเยี่ยมเยียนประชากรของพระองค์ นั่นคือพระเยซูคริสต์ผู้เสด็จมาในโลกนี้
คำว่า “เมสสิยาห์” ซึ่งมาจากภาษาฮีบรู หรือ “คริสต์” ซึ่งมาจากภาษากรีก แปลว่า “ผู้ที่ได้รับการเจิม” (ยอห์น 1:41; 4:25) เพื่อปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า อันได้แก่ ปุโรหิต กษัตริย์ และผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิม (1 พงศ์กษัตริย์ 19:15-16; สดุดี 2:2; ดาเนียล 9:25) โดยพระเยซูทรงถูกเรียกว่าเป็นพระเมสสิยาห์และพระคริสต์ เป็นผู้ที่ได้รับการเจิมให้ทำพระราชกิจของพระบิดา พระองค์ทรงปรากฏกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา และทรงได้รับบัพติศมาจากท่าน และท่านก็เห็นและเป็นพยานว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า (ยอห์น 1:34)
คริสเตียนในยุคปัจจุบันก็มีบทบาทคล้ายคลึงกับยอห์น คือ เป็น “เสียง” ที่ประกาศเรื่องราวของพระเจ้าแก่คนรอบข้างและชี้หนทางไปสู่ความรอด นั่นคือพระเยซูคริสต์ผู้ทรง “เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” (ยอห์น 14:6) เพื่อให้ผู้คนทั้งหลายสามารถกลับมาสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า
สรุปแล้ว ถ้อยคำที่ว่า “จงเตรียมมรรคาของพระยาห์เวห์ในถิ่นทุรกันดาร” จึงเป็นการเชื้อเชิญให้ประชากรของพระเจ้าเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเสด็จมาของพระองค์ ทั้งในบริบทของการ กลับจากการเป็นเชลยในพันธสัญญาเดิม และในการประยุกต์ใช้สำหรับการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ในพันธสัญญาใหม่
- ภาพจาก www.ruralministry.org
สื่อความรู้
สนุกกับพระคัมภีร์
แนะนำสินค้า
พันธกิจ TBS
สมาคมพระคริสตธรรมไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญของสื่อดิจิทัลในโลกยุคปัจจุบัน ในหลายปีที่ผ่านมา สมาคมฯ จึงผลักดันงานด้านนี้เพื่อใช้ประโยชน์จากสื่อดิจิทัลอย่างเต็มที่ เพิ่มช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อช่วยให้คริสตชนและบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงพระวจนะ และสาระความรู้ที่เกี่ยวกับพระคริสตธรรมคัมภีร์และเป็นประโยชน์ต่อชีวิตได้มากขึ้น หนึ่งในช่องทางดังกล่าว คือ TBS Channel บนยูทูบที่มีรายการหลากหลาย เป็นพรต่อคนทุกกลุ่ม
ท่านสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดนี้เพื่อรับชมรายการของสมาคมฯ ทาง TBS Channel ได้ และกรุณาคลิก subscribe เพื่อท่านจะไม่พลาดรายการดีๆ ของเรา