จงเตรียมมรรคาของพระยาห์เวห์ในถิ่นทุรกันดาร อิสยาห์ 40:3 มีความหมายอย่างไร 14/25

จงเตรียมมรรคาของพระยาห์เวห์ในถิ่นทุรกันดาร อิสยาห์ 40:3 มีความหมายอย่างไร “จงเตรียมมรรคาของพระยาห์เวห์ในถิ่นทุรกันดาร” ถ้อยคำแห่งความหวังนี้ปรากฏใน อิสยาห์ 40:3 ยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกอ้างถึงในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม ถ้อยคำนี้มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับเราในปัจจุบันอย่างไร ในช่วงเวลาที่ชาวยูดาห์ถูกเนรเทศไปเป็นเชลยยังบาบิโลน ผู้เขียนได้กล่าวถ้อยคำชูใจนี้เพื่อปลอบโยนประชากรของพระเจ้า และยืนยันว่าพระองค์จะทรงนำพวกเขากลับมาสู่เยรูซาเล็มอีกครั้ง คำว่า “ถิ่นทุรกันดาร” อาจหมายถึงทะเลทรายหรือพื้นที่รกร้าง โดยทั่วไปมักเป็นพื้นที่ห่างไกลไร้ผู้คน เป็นสถานที่เงียบสงบ ในเชิงสัญลักษณ์อาจใช้หมายถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากหรือสภาวะที่ขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เช่น ความทุกข์ยากจากการถูกเนรเทศ สำหรับผู้อ่านดั้งเดิมของพระธรรมตอนนี้ เมื่อรวม “มรรคาของพระยาห์เวห์” เข้ากับ “ถิ่นทุรกันดาร” จะเล็งถึงการอพยพครั้งใหม่ (New Exodus) ซึ่งหมายถึงหนทางที่พระเจ้าจะเสด็จมาเพื่อช่วยกู้และนำประชากรของพระองค์กลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน คล้ายกับเหตุการณ์อพยพในสมัยของโมเสสที่พระองค์ทรงช่วยกู้ชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ ดังนั้น “จงเตรียมมรรคา” จึงเป็นการเรียกร้องให้ประชาชนเตรียมใจ เตรียมชีวิต และเตรียมสังคมให้พร้อมรับการเสด็จมาของพระเจ้า นี่ไม่ใช่เพียงการเดินทางกลับถิ่นฐานทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูจิตวิญญาณและความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วย โดยพระองค์จะทรงเป็นผู้เปิดทางผ่านความทุกข์ยาก ความแห้งแล้ง และอุปสรรคต่างๆ ข้อความนี้ถูกยกมาอ้างในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม (มัทธิว 3:3; มาระโก 1:3; ลูกา 3:4; ยอห์น 1:23) เพื่อชี้ให้เห็นถึงบทบาทของยอห์นผู้ให้บัพติศมาในฐานะ “เสียง” ที่ร้องประกาศให้ผู้ฟังเตรียมหนทางเพื่อต้อนรับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ยอห์นเรียกร้องให้ประชาชนกลับใจใหม่และรับบัพติศมา ซึ่งเป็นการเตรียมใจของพวกเขาให้พร้อมรับการช่วยให้รอด สิ่งที่น่าสังเกตคือ ในพันธสัญญาใหม่นั้น หนทางที่ถูกเตรียมไว้ไม่ใช่สำหรับประชาชนที่จะใช้ไปหาพระเจ้า แต่เป็นหนทางที่พระเจ้าจะเสด็จมาเยี่ยมเยียนประชากรของพระองค์ […]

ใครเขียนพระธรรมฮีบรู 13/25

ใครเขียนพระธรรมฮีบรู พระธรรมฮีบรูเป็นหนึ่งในจดหมายฝากในพันธสัญญาใหม่ที่นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าเขียนขึ้นเพื่อให้คนยิวซึ่งมีพื้นฐานความเข้าใจพันธสัญญาเดิมอ่านเป็นหลัก เนื่องจากเนื้อหากล่าวถึงพระเยซูว่าทรงยิ่งใหญ่กว่าบุคคลสำคัญในพันธสัญญาเดิมรวมทั้งระบอบปุโรหิตและการถวายสัตวบูชาในพลับพลาที่กระทำโดยมหาปุโรหิต ผู้เขียนได้ให้รายละเอียดขององค์ประกอบต่างๆ ในพลับพลารวมทั้งขั้นตอนในการถวายเครื่องบูชา ที่สำคัญคือการเปรียบเทียบพระเยซูคริสต์เป็นเหมือนมหาปุโรหิตไม่ใช่ในระบอบของอาโรน แต่ในระบอบของเมลคีเซเดค พระองค์ไม่ได้ถวายเครื่องบูชาลบมลทินบาปทุกปี แต่ถวายพระชนม์ชีพของพระองค์เองเป็นดั่งเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวและพระโลหิตของพระองค์สามารถชำระความบาปผิดของมวลมนุษยชาติได้อย่างสมบูรณ์ตลอดไป นอกจากนี้ ในเนื้อหายังมีการอ้างอิงข้อพระคัมภีร์จากพันธสัญญาเดิมเป็นจำนวนมาก พระธรรมเล่มนี้เป็นพระธรรมเพียงเล่มเดียวในทั้งหมด 27 เล่มของพันธสัญญาใหม่ที่ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้เขียน และนี่คือประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาเป็นเวลายาวนาน แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องด้วยความจำกัดของข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่เรามี อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาเนื้อหาและภาษาที่ใช้ในพระธรรมเล่มนี้นั้น ก็ทำให้เราพอที่จะอนุมานได้ว่าผู้เขียนพระธรรมฮีบรูมีความสามารถในการใช้ภาษากรีกขั้นสูง มีความเข้าใจพันธสัญญาเดิมอย่างลึกซึ้ง และคุ้นเคยกับพันธสัญญาเดิมฉบับแปลกรีก (ที่เรียกว่า เซปทัวจินต์) เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังดูเหมือนว่าผู้เขียนมีความคุ้นเคยกับผู้อ่านเป็นอย่างดี (ฮบ.13:19) และน่าจะอยู่ในแวดวงของอัครทูตเปาโลเพราะมีความใกล้ชิดกับทิโมธี (ฮบ.13:23) ตั้งแต่คริสตจักรยุคแรกจนถึงปัจจุบัน ได้มีผู้เสนอชื่อของบุคคลหลายคนที่อาจเป็นผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้ ดังนี้ เปาโลแห่งเมืองทาร์ซัส ผู้นำคริสตจักรตั้งแต่ศตวรรษแรกๆ จำนวนหนึ่งเชื่อว่า เปาโลเป็นผู้เขียนพระธรรมฮีบรู หากพิจารณาเนื้อหาเชิงศาสนศาสตร์หลายส่วนในพระธรรมเล่มนี้ก็จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกับในจดหมายฝากของเปาโล ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเรื่องพันธสัญญา ความชอบธรรม ความถ่อมใจของพระคริสต์ การมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม นักวิชาการสมัยใหม่ก็โต้แย้งว่า ภาษากรีกที่ใช้ในพระธรรมเล่มนี้ไม่ว่าจะในเชิงรูปประโยคหรือคำศัพท์ต่างก็มีความเป็นเลิศมากกว่างานเขียนของเปาโล อีกทั้งยังไม่มีการกล่าวถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่มักพบในงานเขียนของเปาโล นอกจากนี้ ยังไม่มีการแนะนำตนเองอย่างที่พบในจดหมายฝากของเปาโล หากเปาโลเป็นผู้เขียนจริง ก็อาจเป็นได้ว่าท่านเขียนขึ้นเป็นภาษาฮีบรูเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนยิว จากนั้นผู้อื่น (เช่น ลูกา) ได้แปลงานเขียนนั้นเป็นภาษากรีก […]

คุณรู้หรือไม่ เกิดอะไรขึ้นบ้างในยุครอยต่อระหว่าง พันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ 12/25

คุณรู้หรือไม่ เกิดอะไรขึ้นบ้างในยุครอยต่อระหว่าง พันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ ช่วงเวลาระหว่างพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่นั้นยาวนานราว 400 ปี โดยนับจากพันธกิจ ของมาลาคีสิ้นสุดลงจนถึงเหตุการณ์ในพระกิตติคุณเริ่มต้นขึ้น ยุคนี้ยังถูกเรียกว่า “ยุคเงียบ” ด้วยเหตุที่พระเจ้าไม่ได้ส่งผู้เผยพระวจนะมาสื่อสารกับชนชาติของพระองค์ ช่วงเวลานี้มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้น แต่ในที่นี้จะขอกล่าวโดยสังเขป สมัยอาณาจักรเปอร์เซีย (ประมาณปี 538-331 ก่อน ค.ศ.) อาณาจักรเปอร์เซียรุ่งเรืองขึ้นและมีชัยเหนืออาณาจักรบาบิโลน ชาวยิวที่ถูกนำไปเป็นเชลยในบาบิโลนต่อมาได้รับอนุญาตจากไซรัสกษัตริย์ชาวเปอร์เซียให้เดินทางกลับมายังปาเลสไตน์เป็นสามระลอก นำโดยเศรุบบาเบล เอสรา และเนหะมีย์ พวกเขาได้ฟื้นฟูชนชาติของพระเจ้าขึ้นใหม่โดยมีพระวิหารหลังที่สองที่พวกเขาสร้างเป็นศูนย์กลาง (2 พศด.36:22-23; อสร.1:1-4) ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ยังคงดำรง รักษากิจกรรมฝ่ายจิตวิญญาณอย่างอื่นที่ได้พัฒนาขึ้นในช่วงที่เป็นเชลย อาทิ การประชุมในธรรมศาลา (กจ.15:21) และการตีความหมายกับการสอนพระคัมภีร์โดยพวกอาลักษณ์และธรรมาจารย์ในยุคนี้ ชนชาติยิวสามารถปกครองตนเองได้โดยมีปุโรหิตเป็นผู้นำที่มีอำนาจปกครองทั้งทางด้านศาสนาและการเมือง โดยขึ้นตรงต่อผู้สำเร็จราชการแห่งเปอร์เซีย สมัยอาณาจักรกรีก (ประมาณปี 331-164 ก่อน ค.ศ.) อาณาจักรกรีกของอเล็กซานเดอร์มหาราชได้พิชิตอาณาจักรเปอร์เซียและขยายบริเวณไปไกลถึงลุ่มแม่น้ำสินธุ ในขณะเดียวกันก็เผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมกรีกไปด้วย จนราวปี 323 ก่อน ค.ศ. อเล็กซานเดอร์ก็สิ้นพระชนม์ บรรดาแม่ทัพของพระองค์ชิงอำนาจกันทำให้อาณาจักรกรีกถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน อาณาจักรที่สำคัญสองอาณาจักรปกครองโดยราชวงศ์ปโตเลมี (มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์) และราชวงศ์เซลูซิด (มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอันทิโอคในซีเรีย) ซึ่งผลัดกันครอบครองแคว้นยูเดีย โดยทีแรกราชวงศ์ปโตเลมีปกครองชาวยิวอย่างเป็นมิตรในช่วง […]

คุณรู้หรือไม่ พระคัมภีร์มองสงครามว่าอย่างไร 10/24

คุณรู้หรือไม่ พระคัมภีร์มองสงครามว่าอย่างไร แม้คนในปัจจุบันจะเห็นตรงกันว่า สงครามนำมาซึ่งความสูญเสียอันใหญ่หลวงทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน และไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น เราก็ยังคงได้ยินข่าวเรื่องสงครามหรือการสู้รบในที่ต่างๆ อยู่เสมอ พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องการทำสงครามไว้ว่าอย่างไร คริสเตียนควรจะสนับสนุนหรือมีส่วนร่วมในการต่อต้านความอยุติธรรมหรือไม่ หรือควรจะอยู่นิ่งเฉยอย่างสันติ คำว่า “สงคราม” ในภาษาฮีบรู คือ (มิลฆามาห์) ปรากฏ 319 ครั้งในพันธสัญญาเดิม และในภาษากรีก คือ (พอเลมอส) ปรากฏ 18 ครั้งในพันธสัญญาใหม่ นอกจากนี้ ยังมีคำอื่นๆ ที่มีความหมายเกี่ยวข้องอีก จะเห็นได้ว่าพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงเรื่องสงครามอยู่ไม่น้อย และบางครั้ง พระเจ้าเองก็บัญชาให้คนของพระองค์ทำสงครามด้วย ดังปรากฏในหลายเหตุการณ์ในพันธสัญญาเดิม สิ่งนี้ท้าทายมุมมองด้านมนุษยธรรมของผู้อ่านหลายคนในปัจจุบัน เพื่อที่จะเข้าใจหลักการเรื่องนี้อย่างถูกต้องอันจะนำไปสู่การประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม เราจำเป็นต้องเข้าใจบริบทของเหตุการณ์เหล่านั้น ตั้งแต่โบราณกาล มนุษย์ทำสงครามกันเพื่อแย่งชิงดินแดนและทรัพยากรเพื่อการอยู่รอดและความผาสุก ดินแดนตะวันออกใกล้ในเวลานั้นก็มีการรบพุ่งอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณที่อิสราเอลตั้งถิ่นฐานซึ่งอยู่ในแถบที่เรียกว่า “เสี้ยวพระจันทร์แห่งความอุดมสมบูรณ์” (Fertile Crescent) อันเป็นพื้นที่ที่เหมาะกับการเกษตร และยังเป็นจุดเชื่อมทางบกระหว่างทวีปแอฟริกากับทวีปเอเชีย ชนชาติต่างๆ ในยุคนั้นจึงมักต้องการเข้ายึดครองดินแดนในแถบนี้อยู่เสมอ สงครามจึงเป็นสิ่งที่คนในสมัยนั้นรวมถึงผู้เขียนพระคัมภีร์คุ้นตาและประสบ รวมทั้งนำมาใช้บรรยายพระลักษณะหรือพระราชกิจของพระเจ้าด้วย แนวคิดของพระคัมภีร์เกี่ยวกับสงครามมีดังนี้ • พระเจ้าทรงเป็นดั่งนักรบ (อพย.15:3; 1 ซมอ.7:10; 17:47; สดด.24:8) […]

ทำไมพระเยซูทรงเลือก ยูดาสเป็นสาวก

ทำไมพระเยซูทรงเลือก ยูดาสเป็นสาวก ยูดาสอิสคาริโอท น่าจะเป็นหนึ่งในสาวกของพระเยซูคริสต์ที่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ที่ทรยศพระองค์ จนเป็นเหตุให้พระองค์ทรงถูกจับกุมและถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่เรื่องที่น่าจะคาใจหลายคนก็คือ พระเยซูทรงทราบตั้งแต่แรกหรือไม่ว่ายูดาสจะกลายเป็นคนทรยศ และหากพระองค์ทรงทราบ ทำไมพระองค์จึงยังทรงเลือกเขาเป็นหนึ่งในสาวก ยูดาสอิสคาริโอท เป็นบุตรของซีโมนอิสคาริโอท (ยน.6:71; 13:2) อย่างไรก็ตาม “อิสคา- ริโอท” (Iscariot) ไม่ใช่นามสกุลของเขา แต่อาจมีความหมายที่เป็นไปได้หลักๆ 2 แบบ คือ 1) คำนี้มาจากคำฮีบรู “อิช เคริโอท/คีริยาท” (Ish Kerioth/Kiriyath) ซึ่งแปลว่า “ชายจากเมือง เคริโอท/คีริยาท” ซึ่งเป็นเมืองในภาคใต้ของอิสราเอล ถ้าเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ยูดาสเป็นคนจากแคว้นยูเดีย ขณะที่สาวกคนอื่นๆ นั้นมาจากแคว้นกาลิลีในภาคเหนือเหมือนกับพระเยซูคริสต์ 2) คำนี้อาจมาจากคำละติน “สิคารีอุส” (Sicarius) แปลว่า “ฆาตกร/นักฆ่า” ซึ่งมาจากรากศัพท์ “สิคา” (Sica) ซึ่งแปลว่า “กริช/มีดสั้น” คำนี้ยังใช้เรียกพวกยิวชาตินิยมหัวรุนแรงที่มักจะลอบสังหารเจ้าหน้าที่ของโรมด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ยูดาสเป็นพวกชาตินิยมเช่นเดียวกันกับซีโมนพรรคชาตินิยม (มธ.10:4; มก.3:18; ลก.6:15) ทั้งนี้ นักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันดูจะเห็นด้วยกับความหมายแบบแรกมากกว่า […]

“เยโฮวาห์” หรือ “ยาห์เวห์”

“เยโฮวาห์” หรือ “ยาห์เวห์” ในพระคัมภีร์ภาษาเดิมคือภาษาฮีบรู พระนามเฉพาะของพระเจ้าประกอบด้วยตัวอักษรฮีบรู 4 ตัว ได้แก่  י (โยด) ה (เฮ) ו (วาว) ה (เฮ) รวมกันเป็น יהוה หรือเขียนทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษได้ว่า YHWH ซึ่งนักวิชาการเรียกกันว่า เททราแกรมมาทอน (Tetragrammaton) ซึ่งเป็นคำกรีก แปลตรงตัวว่า อักษรสี่ตัว ในอดีต พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับต่างๆ มีแนวทางการแปลพระนามนี้อยู่สองแนวทางหลักได้แก่ การทับศัพท์ โดยยึดเอาตามการสะกดที่ปรากฏในสำเนาโบราณ เช่น “ยะโฮวา” หรือ “เยโฮวาห์” หรือในภาษาอังกฤษว่า “Jehovah” ฉบับที่มักจะแปลตามแนวทางนี้ได้แก่ ฉบับ 1940 ฉบับ 1971 ASV เป็นต้น การแปลเป็นพระนามทั่วไป เช่น “องค์พระผู้เป็นเจ้า” หรือ “องค์เจ้านาย” หรือในภาษาอังกฤษว่า “The Lord” ฉบับที่มักจะแปลตามแนวทางนี้ได้แก่ ฉบับประชานิยม ฉบับอมตธรรม ESV KJV NKJV NASB NIV GNB CEV เป็นต้น คำถามหนึ่งที่คนสงสัยคือ พระนามนี้ควรจะออกเสียงว่า “เยโฮวาห์” หรือ “ยาห์เวห์” กันแน่  เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ เราจะต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของการออกเสียงเรียกพระนามพระเจ้า เนื่องจากชาวยิวตั้งแต่สมัยโบราณถือว่าพระนามเฉพาะของพระเจ้าเป็นพระนามบริสุทธิ์และไม่ควรที่จะเอ่ยถึง ดังนั้น เวลากล่าวถึงพระเจ้า ชาวยิวจึงนิยมใช้คำว่า אֲדֹנָי (เขียนทับศัพท์ได้ว่า ʾăDoNaY อ่านว่า อโดนาย) […]

อาจารย์ กนก ลีฬหเกรียงไกร แนะนำอ่านพระคัมภีร์

อาจารย์ กนก ลีฬหเกรียงไกร แนะนำอ่านพระคัมภีร์ ปีละครั้ง ณ จุดเริ่มต้นของปี ผมจะอ่านพระคัมภีร์สักรอบก่อนอ่านหนังสือทั่วไป เป็นแบบนี้ทุกปีๆ ขอบคุณพระเจ้านับวันๆ เนื้อหาถ้อยคำของพระเจ้าเหมือนห้วงน้ำที่ดูเหมือนนิ่ง แต่กลับค่อยๆ เคลื่อนอย่างช้าๆ เข้าไปในจิตใจและความคิดจนสัมผัสได้ถึงความรักความพยายามของพระเจ้าอย่างมากในการนำมนุษย์ที่ล้มลงในบาปให้มีโอกาสกลับตัวกลับใจหันมาหาพระเจ้า ได้รับการช่วยกู้แก้ไข และชีวิตนิรันดร์ การซึมซับของพระวจนะทำให้ผมอดขอบคุณพระเจ้าไม่ได้ จริงๆ บางครั้งก็รู้สึกสงสารพระองค์ในความพยายามที่ไม่ได้รับการตอบรับจากมนุษย์อย่างต่อเนื่องแต่ละยุคสมัย ตอนหนึ่งในพระธรรมอิสยาห์บรรยายถึงแผนการของพระเจ้าที่พระเยซูจะลงมาเพื่อไถ่บาปซึ่งพยากรณ์ไว้ล่วงหน้ากว่า 700 ปี อิสยาห์‬ ‭53‬:‭4‬-‭7‬ “แน่ทีเดียวท่านแบกความเจ็บไข้ของพวกเรา และหอบความเจ็บปวดของเราไป กระนั้นพวกเรายังคิดว่าที่ท่านถูกตี คือถูกพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ แต่ท่านถูกแทงเพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนที่ตกบนท่านนั้นทำให้พวกเรามีสวัสดิภาพ และที่ท่านถูกเฆี่ยนตีก็ทำให้เราได้รับการรักษา เราทุกคนหลงทางไปเหมือนแกะ ต่างคนต่างหันไปตามทางของตนเอง และพระยาห์เวห์ทรงวางความผิดบาป ของเราทุกคนลงบนตัวท่าน ท่านถูกบีบบังคับและถูกข่มใจ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เป็นใบ้ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันเช่นใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยเช่นนั้น” พระเยซูได้คร่ำครวญถึงผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าส่งมาแต่กลับถูกปฏิเสธ ‭‭ ลูกา 13:34 “โอ เย​รู​ซา​เล็มๆ เมือง​ที่​ฆ่า​บรร​ดา​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​และ​เอา​หิน​ขว้าง​พวก​ที่​ทรง​ใช้​มา​หา​ถึง​ตาย บ่อย​ครั้ง​เรา​ปรารถ​นา​จะ​รวบ​รวม​ลูกๆ ของ​เจ้า​ไว้ เหมือน​แม่​ไก่​ที่​กก​ลูก​อยู่​ใต้​ปีก​ของ​มัน แต่​พวก​เจ้า​ไม่​ยอม” จนถึงคำพยากรณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นที่ถูกเขียนไว้ในพระธรรมวิวรณ์ วิวรณ์ 22:3-4 […]

การทำงบประมาณ

สุภาษิต 21:5 แผนงานของคนขยันนำไปสู่กำไรแน่นอน แต่ทุกคนที่ผลีผลามก็มาสู่ความขาดแคลนแน่แท้ . ลูกา 14:28-29 ในพวกท่านมีใครบ้างเมื่อปรารถนาจะสร้างตึก จะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่า จะมีพอที่จะสร้างให้สำเร็จได้หรือไม่?  เกรงว่าเมื่อวางรากฐานแล้ว และทำให้สำเร็จไม่ได้ ทุกคนที่เห็นก็จะเยาะเย้ยเขา . 1 โครินธ์ 14:40 แต่จงให้ทุกสิ่งมีความเหมาะสมและเป็นระเบียบเถิด ภาพประกอบจาก freepik พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน วิธีจัดการด้านการเงิน • พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน วิธีจัดการด้านการเงิน (Thai Financial Stewardship Bible) • พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ (Old and New Testament) ภาษาไทย ฉบับมาตรฐาน (ThSV) • พิมพ์สองสีทั้งเล่ม ประกอบด้วย • เน้นข้อพระคัมภีร์ที่มีคำสอนเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินมากกว่า 2,000 ข้อตลอดเล่มด้วยแถบสีเขียว • ช่วยให้ผู้อ่านสามารถค้นหาคำสอนด้านการเงินจากพระคัมภีร์ได้ง่ายขึ้น คำสอนที่ปรากฏไม่เพียงเป็นเรื่องราวทางศาสนาและจิตวิญญาณเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันด้วย โดยเฉพาะเรื่องเงินซึ่งคนส่วนใหญ่มีความยุ่งยากลำบากใจ • หากท่านได้อ่าน และศึกษาคำสอนเรื่องการจัดการด้านการเงินจากพระคัมภีร์อย่างจริงจังแล้ว […]

การยืม

อพยพ 22:25 “ถ้าเจ้าให้ประชากรของเราคนใดที่เป็นคนจนและอยู่กับเจ้ายืมเงินไป ห้ามถือว่าตนเป็นเจ้าหนี้ และห้ามคิดดอกเบี้ยจากเขา สดุดี 112:5 คนที่เมตตาคนอื่นและให้ยืม ก็อยู่เย็นเป็นสุข คือผู้ที่ดำเนินกิจการของเขาด้วยความยุติธรรม สุภาษิต 28:8 คนที่ทวีทรัพย์สมบัติของตนด้วยดอกเบี้ยและการขูดรีด ก็ได้รวบรวมทรัพย์นั้นไว้ให้ผู้ที่เมตตาคนจน มัทธิว 5:42 ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้ อย่าเมินหน้าจากผู้ที่ต้องการขอยืมจากท่าน ลูกา 6:35 แต่จงรักศัตรูของท่านและทำดีต่อเขา จงให้เขายืมโดยไม่หวังที่จะได้คืน แล้วบำเหน็จของท่านทั้งหลายจะมีบริบูรณ์ แล้วท่านจะเป็นบุตรขององค์ผู้สูงสุด เพราะว่าพระองค์ทรงพระกรุณาทั้งต่อคนอกตัญญูและคนชั่ว ภาพประกอบจาก freepik พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน วิธีจัดการด้านการเงิน • พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน วิธีจัดการด้านการเงิน (Thai Financial Stewardship Bible) • พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ (Old and New Testament) ภาษาไทย ฉบับมาตรฐาน (ThSV) • พิมพ์สองสีทั้งเล่ม ประกอบด้วย • เน้นข้อพระคัมภีร์ที่มีคำสอนเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินมากกว่า 2,000 ข้อตลอดเล่มด้วยแถบสีเขียว […]

การชดใช้

อพยพ 22:1-4 “ถ้าผู้ใดลักโคหรือแกะไปฆ่าหรือขาย ให้ผู้นั้นชดใช้โคห้าตัวแทนโคหนึ่งตัว และแกะสี่ตัวแทนแกะหนึ่งตัว ถ้าผู้ใดเห็นขโมยกำลังขุดช่องย่องเบายามค่ำคืน แล้วตีขโมยนั้นตาย เขาไม่มีความผิด ถ้าดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ผู้ตีจะมีความผิด ขโมยนั้นต้องชดใช้ ถ้าเขาไม่มีอะไรจะใช้ให้ เขาต้องขายตัวเป็นทาสเพื่อจ่ายค่าของสัตว์ที่ลักไปนั้น ถ้าพบสัตว์ที่ลักไปนั้นยังเป็นอยู่ในมือของเขา จะเป็นโคหรือลาหรือแกะก็ตาม ขโมยนั้นต้องจ่ายค่าชดใช้เป็นสองเท่า กันดารวิถี 5:5-8 และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงบอกคนอิสราเอลว่า ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ดีที่ทำบาปต่อกัน อันเป็นการทำผิดต่อพระยาห์เวห์ คนนั้นจึงมีความผิด ให้คนนั้นสารภาพความบาปที่ได้ทำ และให้เขาชดใช้การทำผิดของเขาอย่างเต็มที่พร้อมกับเพิ่มอีกหนึ่งส่วนห้า แล้วมอบให้แก่คนที่เขาได้ล่วงละเมิด ถ้าคนนั้นไม่มีญาติสนิทที่จะรับค่าชดใช้ ก็ให้ถวายค่าชดใช้นั้นแด่พระยาห์เวห์สำหรับปุโรหิต พร้อมทั้งแกะผู้สำหรับลบมลทินบาป ซึ่งจะลบมลทินบาปของเขา ลูกา 19:8 ส่วนศักเคียสนั้นยืนขึ้นทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนยากจนครึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์โกงอะไรของใครมา ก็ยอมคืนให้เขาสี่เท่า” ภาพประกอบจาก freepik พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน วิธีจัดการด้านการเงิน • พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน วิธีจัดการด้านการเงิน (Thai Financial Stewardship Bible) • พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ (Old and New Testament) ภาษาไทย ฉบับมาตรฐาน (ThSV) • […]

1 2 3 4