จงเตรียมมรรคาของพระยาห์เวห์ในถิ่นทุรกันดาร อิสยาห์ 40:3 มีความหมายอย่างไร 14/25

จงเตรียมมรรคาของพระยาห์เวห์ในถิ่นทุรกันดาร อิสยาห์ 40:3 มีความหมายอย่างไร “จงเตรียมมรรคาของพระยาห์เวห์ในถิ่นทุรกันดาร” ถ้อยคำแห่งความหวังนี้ปรากฏใน อิสยาห์ 40:3 ยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกอ้างถึงในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม ถ้อยคำนี้มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับเราในปัจจุบันอย่างไร ในช่วงเวลาที่ชาวยูดาห์ถูกเนรเทศไปเป็นเชลยยังบาบิโลน ผู้เขียนได้กล่าวถ้อยคำชูใจนี้เพื่อปลอบโยนประชากรของพระเจ้า และยืนยันว่าพระองค์จะทรงนำพวกเขากลับมาสู่เยรูซาเล็มอีกครั้ง คำว่า “ถิ่นทุรกันดาร” อาจหมายถึงทะเลทรายหรือพื้นที่รกร้าง โดยทั่วไปมักเป็นพื้นที่ห่างไกลไร้ผู้คน เป็นสถานที่เงียบสงบ ในเชิงสัญลักษณ์อาจใช้หมายถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากหรือสภาวะที่ขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เช่น ความทุกข์ยากจากการถูกเนรเทศ สำหรับผู้อ่านดั้งเดิมของพระธรรมตอนนี้ เมื่อรวม “มรรคาของพระยาห์เวห์” เข้ากับ “ถิ่นทุรกันดาร” จะเล็งถึงการอพยพครั้งใหม่ (New Exodus) ซึ่งหมายถึงหนทางที่พระเจ้าจะเสด็จมาเพื่อช่วยกู้และนำประชากรของพระองค์กลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน คล้ายกับเหตุการณ์อพยพในสมัยของโมเสสที่พระองค์ทรงช่วยกู้ชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ ดังนั้น “จงเตรียมมรรคา” จึงเป็นการเรียกร้องให้ประชาชนเตรียมใจ เตรียมชีวิต และเตรียมสังคมให้พร้อมรับการเสด็จมาของพระเจ้า นี่ไม่ใช่เพียงการเดินทางกลับถิ่นฐานทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูจิตวิญญาณและความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วย โดยพระองค์จะทรงเป็นผู้เปิดทางผ่านความทุกข์ยาก ความแห้งแล้ง และอุปสรรคต่างๆ ข้อความนี้ถูกยกมาอ้างในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม (มัทธิว 3:3; มาระโก 1:3; ลูกา 3:4; ยอห์น 1:23) เพื่อชี้ให้เห็นถึงบทบาทของยอห์นผู้ให้บัพติศมาในฐานะ “เสียง” ที่ร้องประกาศให้ผู้ฟังเตรียมหนทางเพื่อต้อนรับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ยอห์นเรียกร้องให้ประชาชนกลับใจใหม่และรับบัพติศมา ซึ่งเป็นการเตรียมใจของพวกเขาให้พร้อมรับการช่วยให้รอด สิ่งที่น่าสังเกตคือ ในพันธสัญญาใหม่นั้น หนทางที่ถูกเตรียมไว้ไม่ใช่สำหรับประชาชนที่จะใช้ไปหาพระเจ้า แต่เป็นหนทางที่พระเจ้าจะเสด็จมาเยี่ยมเยียนประชากรของพระองค์ […]

ใครเขียนพระธรรมฮีบรู 13/25

ใครเขียนพระธรรมฮีบรู พระธรรมฮีบรูเป็นหนึ่งในจดหมายฝากในพันธสัญญาใหม่ที่นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าเขียนขึ้นเพื่อให้คนยิวซึ่งมีพื้นฐานความเข้าใจพันธสัญญาเดิมอ่านเป็นหลัก เนื่องจากเนื้อหากล่าวถึงพระเยซูว่าทรงยิ่งใหญ่กว่าบุคคลสำคัญในพันธสัญญาเดิมรวมทั้งระบอบปุโรหิตและการถวายสัตวบูชาในพลับพลาที่กระทำโดยมหาปุโรหิต ผู้เขียนได้ให้รายละเอียดขององค์ประกอบต่างๆ ในพลับพลารวมทั้งขั้นตอนในการถวายเครื่องบูชา ที่สำคัญคือการเปรียบเทียบพระเยซูคริสต์เป็นเหมือนมหาปุโรหิตไม่ใช่ในระบอบของอาโรน แต่ในระบอบของเมลคีเซเดค พระองค์ไม่ได้ถวายเครื่องบูชาลบมลทินบาปทุกปี แต่ถวายพระชนม์ชีพของพระองค์เองเป็นดั่งเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวและพระโลหิตของพระองค์สามารถชำระความบาปผิดของมวลมนุษยชาติได้อย่างสมบูรณ์ตลอดไป นอกจากนี้ ในเนื้อหายังมีการอ้างอิงข้อพระคัมภีร์จากพันธสัญญาเดิมเป็นจำนวนมาก พระธรรมเล่มนี้เป็นพระธรรมเพียงเล่มเดียวในทั้งหมด 27 เล่มของพันธสัญญาใหม่ที่ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้เขียน และนี่คือประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาเป็นเวลายาวนาน แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องด้วยความจำกัดของข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่เรามี อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาเนื้อหาและภาษาที่ใช้ในพระธรรมเล่มนี้นั้น ก็ทำให้เราพอที่จะอนุมานได้ว่าผู้เขียนพระธรรมฮีบรูมีความสามารถในการใช้ภาษากรีกขั้นสูง มีความเข้าใจพันธสัญญาเดิมอย่างลึกซึ้ง และคุ้นเคยกับพันธสัญญาเดิมฉบับแปลกรีก (ที่เรียกว่า เซปทัวจินต์) เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังดูเหมือนว่าผู้เขียนมีความคุ้นเคยกับผู้อ่านเป็นอย่างดี (ฮบ.13:19) และน่าจะอยู่ในแวดวงของอัครทูตเปาโลเพราะมีความใกล้ชิดกับทิโมธี (ฮบ.13:23) ตั้งแต่คริสตจักรยุคแรกจนถึงปัจจุบัน ได้มีผู้เสนอชื่อของบุคคลหลายคนที่อาจเป็นผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้ ดังนี้ เปาโลแห่งเมืองทาร์ซัส ผู้นำคริสตจักรตั้งแต่ศตวรรษแรกๆ จำนวนหนึ่งเชื่อว่า เปาโลเป็นผู้เขียนพระธรรมฮีบรู หากพิจารณาเนื้อหาเชิงศาสนศาสตร์หลายส่วนในพระธรรมเล่มนี้ก็จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกับในจดหมายฝากของเปาโล ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเรื่องพันธสัญญา ความชอบธรรม ความถ่อมใจของพระคริสต์ การมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม นักวิชาการสมัยใหม่ก็โต้แย้งว่า ภาษากรีกที่ใช้ในพระธรรมเล่มนี้ไม่ว่าจะในเชิงรูปประโยคหรือคำศัพท์ต่างก็มีความเป็นเลิศมากกว่างานเขียนของเปาโล อีกทั้งยังไม่มีการกล่าวถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่มักพบในงานเขียนของเปาโล นอกจากนี้ ยังไม่มีการแนะนำตนเองอย่างที่พบในจดหมายฝากของเปาโล หากเปาโลเป็นผู้เขียนจริง ก็อาจเป็นได้ว่าท่านเขียนขึ้นเป็นภาษาฮีบรูเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนยิว จากนั้นผู้อื่น (เช่น ลูกา) ได้แปลงานเขียนนั้นเป็นภาษากรีก […]

คุณรู้หรือไม่ เกิดอะไรขึ้นบ้างในยุครอยต่อระหว่าง พันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ 12/25

คุณรู้หรือไม่ เกิดอะไรขึ้นบ้างในยุครอยต่อระหว่าง พันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ ช่วงเวลาระหว่างพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่นั้นยาวนานราว 400 ปี โดยนับจากพันธกิจ ของมาลาคีสิ้นสุดลงจนถึงเหตุการณ์ในพระกิตติคุณเริ่มต้นขึ้น ยุคนี้ยังถูกเรียกว่า “ยุคเงียบ” ด้วยเหตุที่พระเจ้าไม่ได้ส่งผู้เผยพระวจนะมาสื่อสารกับชนชาติของพระองค์ ช่วงเวลานี้มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้น แต่ในที่นี้จะขอกล่าวโดยสังเขป สมัยอาณาจักรเปอร์เซีย (ประมาณปี 538-331 ก่อน ค.ศ.) อาณาจักรเปอร์เซียรุ่งเรืองขึ้นและมีชัยเหนืออาณาจักรบาบิโลน ชาวยิวที่ถูกนำไปเป็นเชลยในบาบิโลนต่อมาได้รับอนุญาตจากไซรัสกษัตริย์ชาวเปอร์เซียให้เดินทางกลับมายังปาเลสไตน์เป็นสามระลอก นำโดยเศรุบบาเบล เอสรา และเนหะมีย์ พวกเขาได้ฟื้นฟูชนชาติของพระเจ้าขึ้นใหม่โดยมีพระวิหารหลังที่สองที่พวกเขาสร้างเป็นศูนย์กลาง (2 พศด.36:22-23; อสร.1:1-4) ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ยังคงดำรง รักษากิจกรรมฝ่ายจิตวิญญาณอย่างอื่นที่ได้พัฒนาขึ้นในช่วงที่เป็นเชลย อาทิ การประชุมในธรรมศาลา (กจ.15:21) และการตีความหมายกับการสอนพระคัมภีร์โดยพวกอาลักษณ์และธรรมาจารย์ในยุคนี้ ชนชาติยิวสามารถปกครองตนเองได้โดยมีปุโรหิตเป็นผู้นำที่มีอำนาจปกครองทั้งทางด้านศาสนาและการเมือง โดยขึ้นตรงต่อผู้สำเร็จราชการแห่งเปอร์เซีย สมัยอาณาจักรกรีก (ประมาณปี 331-164 ก่อน ค.ศ.) อาณาจักรกรีกของอเล็กซานเดอร์มหาราชได้พิชิตอาณาจักรเปอร์เซียและขยายบริเวณไปไกลถึงลุ่มแม่น้ำสินธุ ในขณะเดียวกันก็เผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมกรีกไปด้วย จนราวปี 323 ก่อน ค.ศ. อเล็กซานเดอร์ก็สิ้นพระชนม์ บรรดาแม่ทัพของพระองค์ชิงอำนาจกันทำให้อาณาจักรกรีกถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน อาณาจักรที่สำคัญสองอาณาจักรปกครองโดยราชวงศ์ปโตเลมี (มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์) และราชวงศ์เซลูซิด (มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอันทิโอคในซีเรีย) ซึ่งผลัดกันครอบครองแคว้นยูเดีย โดยทีแรกราชวงศ์ปโตเลมีปกครองชาวยิวอย่างเป็นมิตรในช่วง […]

คุณรู้หรือไม่ การแบ่งบทและข้อในพระคัมภีร์ มีความเป็นมาอย่างไร 11/24

คุณรู้หรือไม่ การแบ่งบทและข้อในพระคัมภีร์ มีความเป็นมาอย่างไร สำหรับเราในทุกวันนี้ เลขบทและเลขข้อในพระคัมภีร์ช่วยให้เราค้นหาพระคัมภีร์ตอนต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เลขบทและเลขข้อเหล่านี้มิได้มีอยู่ในต้นฉบับดั้งเดิมของพระคัมภีร์ แล้วสิ่งนี้มีความเป็นมาอย่างไร แม้ต้นฉบับดั้งเดิมของพระคัมภีร์ไม่มีเลขบทและเลขข้อ การแบ่งตอนของเนื้อหาก็มีมาอย่างยาวนานแล้ว เช่น ในม้วนคัมภีร์ทะเลตาย (ประมาณศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ.) มีการแบ่งเนื้อหาออกเป็นย่อหน้า เพื่อช่วยให้อาลักษณ์คัดลอกเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง และเพื่อใช้อ่านในโอกาสหรือเทศกาลต่างๆ ขณะที่การอ้างอิงพันธสัญญาเดิมของพระเยซูคริสต์และบรรดาผู้เขียนพันธสัญญาใหม่ดูจะไม่ได้อิงกับการแบ่งย่อหน้าเช่นนี้เท่าไรนัก อย่างไรก็ดี ร่องรอยของการแบ่งบทและข้อในพันธสัญญาเดิมนั้นพอจะพบได้ในหนังสือมิชนาห์ (ตำราอธิบายและแนะแนวทางการประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ฮีบรูของบรรดารับบี ประมาณช่วงศตวรรษที่ 1 ก่อน ค.ศ. จนถึงศตวรรษที่ 3) โดยเนื้อหาตอนหนึ่งได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการอ่านและตีความหมายพระคัมภีร์ว่า ถ้าผู้ใดจะอ่านถ้อยคำของธรรมบัญญัติหรือผู้เผยพระวจนะ ก็จงให้ผู้นั้นอ่านไม่น้อยกว่าสามข้อขึ้นไป (Mishnah Megillah 4:4) ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าการแบ่งบทและข้อในพันธสัญญาเดิมก็ยังไม่มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน จนกระทั่งประมาณช่วงศตวรรษที่ 6 เป็นต้นไป สำเนาโบราณฉบับมาโซเรติก (สำเนาพระคัมภีร์ฮีบรูที่ถือว่ามีเนื้อหาสมบูรณ์ที่สุดและมักใช้เป็นตัวบทมูลฐานสำหรับการศึกษาและการแปลพระคัมภีร์ในปัจจุบัน) ได้มีการแบ่งบทและข้อที่ดูใกล้เคียงกับที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน (โดยส่วนใหญ่เป็นผลงานของอาลักษณ์สกุลเบน-อาเชอร์) ส่วนต้นฉบับพันธสัญญาใหม่ภาษากรีกนั้น แม้สำเนาโบราณหลายฉบับจะมีการแบ่งย่อหน้า ก็มีหลายฉบับที่ไม่ได้แบ่ง บางฉบับไม่มีกระทั่งการเว้นวรรคระหว่างคำและประโยค นอกจากนี้ สำเนาพระคัมภีร์ภาษาละตินฉบับต่างๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมาจนถึงยุคกลางก็มีการแบ่งบทและข้อที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น […]

คุณรู้หรือไม่ พระคัมภีร์มองสงครามว่าอย่างไร 10/24

คุณรู้หรือไม่ พระคัมภีร์มองสงครามว่าอย่างไร แม้คนในปัจจุบันจะเห็นตรงกันว่า สงครามนำมาซึ่งความสูญเสียอันใหญ่หลวงทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน และไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น เราก็ยังคงได้ยินข่าวเรื่องสงครามหรือการสู้รบในที่ต่างๆ อยู่เสมอ พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องการทำสงครามไว้ว่าอย่างไร คริสเตียนควรจะสนับสนุนหรือมีส่วนร่วมในการต่อต้านความอยุติธรรมหรือไม่ หรือควรจะอยู่นิ่งเฉยอย่างสันติ คำว่า “สงคราม” ในภาษาฮีบรู คือ (มิลฆามาห์) ปรากฏ 319 ครั้งในพันธสัญญาเดิม และในภาษากรีก คือ (พอเลมอส) ปรากฏ 18 ครั้งในพันธสัญญาใหม่ นอกจากนี้ ยังมีคำอื่นๆ ที่มีความหมายเกี่ยวข้องอีก จะเห็นได้ว่าพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงเรื่องสงครามอยู่ไม่น้อย และบางครั้ง พระเจ้าเองก็บัญชาให้คนของพระองค์ทำสงครามด้วย ดังปรากฏในหลายเหตุการณ์ในพันธสัญญาเดิม สิ่งนี้ท้าทายมุมมองด้านมนุษยธรรมของผู้อ่านหลายคนในปัจจุบัน เพื่อที่จะเข้าใจหลักการเรื่องนี้อย่างถูกต้องอันจะนำไปสู่การประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม เราจำเป็นต้องเข้าใจบริบทของเหตุการณ์เหล่านั้น ตั้งแต่โบราณกาล มนุษย์ทำสงครามกันเพื่อแย่งชิงดินแดนและทรัพยากรเพื่อการอยู่รอดและความผาสุก ดินแดนตะวันออกใกล้ในเวลานั้นก็มีการรบพุ่งอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณที่อิสราเอลตั้งถิ่นฐานซึ่งอยู่ในแถบที่เรียกว่า “เสี้ยวพระจันทร์แห่งความอุดมสมบูรณ์” (Fertile Crescent) อันเป็นพื้นที่ที่เหมาะกับการเกษตร และยังเป็นจุดเชื่อมทางบกระหว่างทวีปแอฟริกากับทวีปเอเชีย ชนชาติต่างๆ ในยุคนั้นจึงมักต้องการเข้ายึดครองดินแดนในแถบนี้อยู่เสมอ สงครามจึงเป็นสิ่งที่คนในสมัยนั้นรวมถึงผู้เขียนพระคัมภีร์คุ้นตาและประสบ รวมทั้งนำมาใช้บรรยายพระลักษณะหรือพระราชกิจของพระเจ้าด้วย แนวคิดของพระคัมภีร์เกี่ยวกับสงครามมีดังนี้ • พระเจ้าทรงเป็นดั่งนักรบ (อพย.15:3; 1 ซมอ.7:10; 17:47; สดด.24:8) […]

ทำไมข้อความของ มาระโก 16:9-20 จึงอยู่ในวงเล็บ? 9/24

ทำไมข้อความของ มาระโก 16:9-20 จึงอยู่ในวงเล็บ? พระกิตติคุณมาระโกเป็นหนึ่งในพระกิตติคุณสี่เล่มในพันธสัญญาใหม่ แม้จะไม่มีระบุในเนื้อหาว่าใครเป็นผู้เขียน นักวิชาการจำนวนมากเห็นพ้องต้องกันว่า มาระโกซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงาน ของเปโตรเป็นผู้เขียน และเชื่อว่าท่านเขียนขึ้นก่อนพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ พระธรรมเล่มนี้มีอยู่ทั้งหมด 16 บท หลายคนคงสังเกตว่า ข้อ 9-20 ของบทสุดท้ายอยู่ในวงเล็บ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น นักวิชาการจำนวนมากลงความเห็นว่า ส่วนท้ายดังกล่าวถูกเพิ่มเติมขึ้นในภายหลัง เนื่องจากเนื้อหาส่วนดังกล่าวไม่ปรากฏในสำเนาโบราณฉบับต้นๆ จึงใส่ไว้ในวงเล็บ หากทฤษฎีนี้เป็นจริง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น บทที่ 16 เริ่มต้นด้วยเรื่องราวหลังจากที่วันสะบาโตได้สิ้นสุดลง มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ พร้อมกับนางสะโลเม ไปซื้อเครื่องหอมเพื่อจะนำไปชโลมพระศพของพระเยซูในรุ่งเช้าวันอาทิตย์ แต่เมื่อพวกเธอไปถึงอุโมงค์บรรจุพระศพของพระองค์ก็พบว่า หินที่ปิดปากอุโมงค์ถูกกลิ้งออกไป เมื่อพวกเธอเข้าไปในอุโมงค์ก็พบกับทูตสวรรค์ที่บอกพวกเธอว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว และกำชับให้พวกเธอไปบอกสาวกของพระเยซูว่า พระองค์จะเสด็จไปที่แคว้นกาลิลี สำเนาโบราณฉบับต้นๆ ของพระธรรมเล่มนี้จบลงอย่างกะทันหันในข้อ 8 ว่า “หญิงเหล่านั้นจึงออกจากอุโมงค์แล้วรีบหนีไป เพราะพิศวงงงงวยและตกใจจนตัวสั่น พวกนางไม่ได้พูดกับใครเพราะกลัว” แปลกหรือไม่ที่มาระโกลงท้ายพระกิตติคุณเช่นนั้น ซึ่งอาจฟังดูห้วน และเหมือนเนื้อหาบางอย่างขาดหายไป สิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจคือ พระกิตติคุณไม่ใช่หนังสือชีวประวัติอย่างที่หลายคนคุ้นเคย วัตถุประสงค์หลักของการประพันธ์ไม่ใช่เพื่อการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูอย่างละเอียดครบถ้วนในทุกช่วงวัยของชีวิต แต่เป็นหนังสือที่ใช้เพื่อการประกาศให้คนเชื่อว่าพระเยซูคือพระผู้ช่วยให้รอด อีกทั้งเพื่อการเสริมสร้างความเชื่อของผู้เชื่อทั้งหลาย ดังนั้น ผู้เขียนจึงเลือกว่าจะให้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับชีวิตพระเยซูเพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่มีการบันทึกเรื่องราวของพระเยซูในวัยผู้ใหญ่ก่อนที่จะทรงรับบัพติศมาและเริ่มพระราชกิจ […]

เพราะเหตุใดพระกิตติคุณจึงมีสี่เล่ม? 8/24

เพราะเหตุใดพระกิตติคุณจึงมีสี่เล่ม?ทำไมพระกิตติคุณในพันธสัญญาใหม่จึงมีสี่เล่ม ไม่น้อยหรือมากกว่านั้น เพื่อที่จะเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่าพระกิตติคุณคืออะไรและมาอยู่ในพระคัมภีร์ได้อย่างไร คำว่า “พระกิตติคุณ” หรือ “พระวรสาร” (Gospel) มาจากคำกรีกว่า εὐαγγέλιον (euaggelion) ซึ่งเป็นรากของคำว่า evangelism ในภาษาอังกฤษ แปลตรงตัวว่า “ข่าวสารที่ดี” และไม่ใช่แค่ข่าวสารทั่วไปเท่านั้น แต่เป็นข่าวสารที่สำคัญหรือยิ่งใหญ่ เช่น ข่าวสารที่ดีเรื่องชัยชนะในสงคราม หรือเรื่องการเสด็จมาเยือนของจักรพรรดิ เป็นต้น คริสเตียนยุคแรกได้นำคำนี้มาใช้เรียกเรื่องราวพระชนม์ชีพและพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ขณะที่พระองค์ทรงอยู่บนโลกนี้ นอกจากนี้ คำนี้ยังถูกแปลได้อีกว่า “ข่าวประเสริฐ” ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย แท้จริง มีเอกสารโบราณที่ถูกเรียกว่าพระกิตติคุณอยู่หลายเล่ม แต่เมื่อคริสตจักรยุคแรกทำการพิจารณาจัดตั้งสารบบพระคัมภีร์เพื่อป้องกันคำสอนผิดหรือคัมภีร์เทียมเท็จ ก็มักจะยึดหลักเกณฑ์ที่สำคัญสามประการคือ ความยึดโยงกับอัครทูต (Apostolicity) หลักคำสอนที่ถูกต้อง (Orthodoxy) และการใช้ประโยชน์ (Utility) เป็นรากฐานของสารบบพันธสัญญาใหม่ ปรากฏว่า พระกิตติคุณที่ได้รับการยอมรับให้อยู่ในสารบบพระคัมภีร์มีเพียงสี่เล่ม นั่นคือ มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น อย่างไรก็ดี มักจะมีคำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม ด้วยเหตุว่าบางครั้งเรื่องราวเดียวกันที่ถูกบันทึกไว้กลับมีรายละเอียดที่แตกต่างกันในแต่ละเล่ม ความจริงก็คือผู้เขียนพระกิตติคุณแต่ละเล่มบอกเล่าเรื่องราวจากมุมมองที่แตกต่างกัน นักวิชาการบางท่านเชื่อว่า พระกิตติคุณแต่ละเล่มมีกลุ่มเป้าหมายผู้อ่านที่เฉพาะ กล่าวคือ มัทธิวเขียนขึ้นสำหรับผู้อ่านชาวยิวที่คุ้นเคยกับพันธสัญญาเดิม ดังจะเห็นได้จากเนื้อหาหลายตอนที่อ้างอิงถึงพันธสัญญาเดิมและรูปแบบวรรณกรรมที่สะท้อนความคิดแบบยิว […]

ทำไมปลาจึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของคริสเตียน 7/24

ทำไมปลาจึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของคริสเตียน หลายคนคงเคยเห็นสัญลักษณ์รูปปลาที่คริสเตียนใช้ทำเป็นของที่ระลึก พิมพ์บนเสื้อ หรือทำเป็นป้ายติดท้ายรถยนต์ คุณรู้หรือไม่ว่า เหตุใดปลาจึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของคริสเตียน ปลาเป็นสัตว์ที่ถูกกล่าวถึงหลายครั้งในพระคัมภีร์ พระธรรมปฐมกาลกล่าวถึงการที่พระเจ้าทรงสร้างสัตว์น้ำซึ่งรวมถึงปลาในวันที่ห้า (ปฐก.1:20-23) พระเจ้าทรงบัญชาให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างตามฉายาของพระองค์ครอบครองสัตว์ต่างๆ รวมทั้งฝูงปลาในทะเล (ปฐก.1:26) ผู้เผยพระวจนะโยนาห์อยู่ในท้องปลาเป็นเวลาสามวันสามคืน อันเป็นหมายสำคัญเล็งถึงพระเยซูผู้ถูกฝังเป็นเวลาสามวันและสามคืน (มธ.12:40) ในพระคัมภีร์ใหม่ สาวกหลายคนของพระเยซูเป็นชาวประมง (มธ.4:18-22; มก.1:16-20; ลก.5:1-11) พระองค์ทรงตั้งพวกเขาให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา (มธ.4:19; มก.1:17; ลก.5:10) ปลาเป็นหนึ่งในอาหารของผู้คนในอิสราเอล (ลก.24:41-42; ยน.21:9) พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์เลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวที่ทวีจำนวน (มธ.14:13-21; มก.6:30-44; ลก.9:10-17; ยน.6:1-14) ในส่วนของการที่คริสเตียนใช้ปลาเป็นสัญลักษณ์ของผู้เชื่อนั้น สามารถย้อนประวัติศาสตร์ไปถึงคริสตจักรในสมัยแรกได้ ขณะนั้นความเชื่อคริสเตียนเป็นสิ่งผิดกฎหมายและคริสเตียนถูกข่มเหงอย่างรุนแรงโดยผู้มีสิทธิอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองชาวโรมัน คริสเตียนจึงหาสัญลักษณ์ที่คนนอกไม่รู้ในขณะที่คนในรู้เพื่อช่วยในการพบปะกัน กางเขนเป็นเครื่องหมายที่เฉพาะเจาะจงของคริสเตียน จึงโจ่งแจ้งและไม่อาจใช้ได้ ในขณะที่ปลาเป็นสัญลักษณ์ที่คนหลายกลุ่มรวมทั้งคนนอกศาสนาใช้ การใช้ปลาเป็นสัญลักษณ์ของคริสเตียนจึงไม่ทำให้เป็นที่น่าสงสัยจนเกินไป มีเรื่องเล่าว่า เมื่อคนแปลกหน้าสองคนพบกัน ฝ่ายหนึ่งที่เป็นคริสเตียนจะขีดเส้นโค้งลงบนพื้น หากอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคริสเตียนเช่นกัน เขาจะขีดเส้นโค้งอีกเส้นหนึ่งต่อเป็นรูปปลา ก็จะเป็นที่รู้กันว่าทั้งสองฝ่ายเป็นคริสเตียน แต่หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่คริสเตียน เขาก็จะไม่รู้ความหมายของเส้นโค้งและไม่ได้วาดต่อ ฝ่ายที่เป็นคริสเตียนก็ปกปิดตัวตนต่อไป นอกจากนี้ คำว่า “ปลา” ในภาษากรีก คือ ΙΧΘΥΣ (Ichthys) ยังมีความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ด้วย เพราะตัวอักษรกรีกทั้ง 5 ตัวนี้เป็นอักษรตัวแรกของคำห้าคำในภาษากรีกที่เกี่ยวข้องกับพระเยซู […]

ทำทำไมยอห์นจึงเรียกพระเยซูว่า “พระวาทะ” 6/23

ทำทำไมยอห์นจึงเรียกพระเยซูว่า “พระวาทะ” ในพระกิตติคุณและจดหมายฝากของยอห์น ท่านอัครทูตเรียกพระเยซูว่า พระวาทะ พระกิตติคุณยอห์นเปิดด้วยข้อความว่า “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ” (ยน. 1:1-3) จดหมายฝากฉบับแรกของท่านขึ้นต้นว่า “เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมาตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น คือพระวาทะแห่งชีวิต” (1 ยน.1:1) ยอห์นยังได้กล่าวด้วยว่า “พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” (ยน.1:14) จึงเป็นที่แน่ชัดว่า พระวาทะที่ท่านกล่าวถึงนี้คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง เหตุใดยอห์นจึงเรียกพระเยซูเช่นนั้น คำว่า “พระวาทะ” ในต้นฉบับภาษากรีก คือ logos ความหมายของคำนี้ที่เราคุ้นเคยคือ ถ้อยคำ ข้อความ หรือ คำพูด คำกรีกคำนี้ยังให้ความหมายถึง เหตุผล และยังเป็นรากศัพท์ของคำว่า logic ในภาษาอังกฤษที่แปลว่า ตรรกะ ซึ่งก็หมายถึงการให้เหตุผลด้วยคำพูด นอกจากนี้ logos ยังถูกใช้ในทางปรัชญาของกรีก เพื่อหมายถึง จิตวิญญาณของจักรวาล หลักการที่เป็นสากล หรือพลังที่มีอำนาจในการสร้างและพยุงรักษาสรรพสิ่งในจักรวาล […]

ทำไมพระเยซูทรงเลือกยูดาสเป็นสาวก 5/23

ทำไมพระเยซูทรงเลือกยูดาสเป็นสาวก ยูดาสอิสคาริโอท น่าจะเป็นหนึ่งในสาวกของพระเยซูคริสต์ที่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ที่ทรยศพระองค์ จนเป็นเหตุให้พระองค์ทรงถูกจับกุมและถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่เรื่องที่น่าจะคาใจหลายคนก็คือ พระเยซูทรงทราบตั้งแต่แรกหรือไม่ว่ายูดาสจะกลายเป็นคนทรยศ และหากพระองค์ทรงทราบ ทำไมพระองค์จึงยังทรงเลือกเขาเป็นหนึ่งในสาวก ยูดาสอิสคาริโอท เป็นบุตรของซีโมนอิสคาริโอท (ยน.6:71; 13:2) อย่างไรก็ตาม “อิสคาริโอท” (Iscariot) ไม่ใช่นามสกุลของเขา แต่อาจมีความหมายที่เป็นไปได้หลักๆ 2 แบบ คือ คำนี้มาจากคำฮีบรู “อิช เคริโอท/คีริยาท” (Ish Kerioth/Kiriyath) ซึ่งแปลว่า “ชายจากเมือง เคริโอท/คีริยาท” ซึ่งเป็นเมืองในภาคใต้ของอิสราเอล ถ้าเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ยูดาสเป็นคนจากแคว้นยูเดีย ขณะที่สาวกคนอื่นๆ นั้นมาจากแคว้นกาลิลีในภาคเหนือเหมือนกับพระเยซูคริสต์ คำนี้อาจมาจากคำละติน “สิคารีอุส” (Sicarius) แปลว่า “ฆาตกร/นักฆ่า” ซึ่งมาจากรากศัพท์ “สิคา” (Sica) ซึ่งแปลว่า “กริช/มีดสั้น” คำนี้ยังใช้เรียกพวกยิวชาตินิยมหัวรุนแรงที่มักจะลอบสังหารเจ้าหน้าที่ของโรมด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ยูดาสเป็นพวกชาตินิยมเช่นเดียวกันกับซีโมนพรรคชาตินิยม (มธ.10:4; มก.3:18; ลก.6:15) ทั้งนี้ นักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันดูจะเห็นด้วยกับความหมายแบบแรกมากกว่า ในพันธสัญญาใหม่ ยูดาสอิสคาริโอทไม่ถูกกล่าวถึงเลยในจดหมายฝากต่างๆ และถูกเอ่ยถึงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในพระธรรมกิจการของอัครทูต (กจ.1:16-18, 25) ข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับยูดาสและการทรยศของเขาจึงพบได้เฉพาะในพระกิตติคุณสี่เล่ม ซึ่งพอจะรวบรวมมาสรุปความในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคำถามข้างต้นได้ดังนี้ […]

1 2 3 10